วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Chiangmai_19Nov10_Thumb2
ทิ้งช่วงห่างจากการไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์แสตมป์เมื่อคราวที่แล้วมานานพอควร ได้เวลาที่เราจะพาเพื่อนๆแบกกระเป๋าสะพายกล้องออกไปเที่ยวกันอีกแล้ว คราวนี้เราขอเปลี่ยนจากทริปวันเดียวเที่ยวใกล้ๆมาเป็นทริปไกลๆกันดูบ้าง เราจะพาเพื่อนๆไปแอ่วเหนือเที่ยวเทศกาลลอยกระทงที่จังหวัดเชียงใหม่กันค่ะ
เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯในตอนเช้าเวลา 10.30 น.โดยรถทัวร์ชั้น First Class ของบริษัทนครชัยแอร์ ค่าใช้จ่ายคนละ 806 บาท ราคาเท่านี้ไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับความสะดวกสบายและบริการดีๆที่คุณจะได้รับตลอดการเดินทาง การเดินทางจากกรุงเทพฯถึงเชียงใหม่นั้นใช้เวลาประมาณ 9 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งถ้าออกเดินทางในตอนกลางคืนน่าจะเหมาะกว่า เพราะจะไปถึงเชียงใหม่ในตอนเช้าพอดี เราจึงอยากแนะนำให้จองตั๋วรถโดยสารกันตั้งแต่เนิ่นๆก็จะดี เพราะที่นั่งเต็มเร็วมากๆ และมีแค่หนึ่งคันต่อรอบเท่านั้น
เวลาประมาณ 20.00 น. เราก็มาถึงเชียงใหม่ จากนั้นก็เรียกรถสามล้อไปสนามบินเพื่อรับรถที่เช่าไว้สำหรับการเดินทางวันรุ่งขึ้น รถที่เราเช่าเป็นของบริษัท Avis ซึ่งส่วนมากจะเป็นรถใหม่ มีให้เลือกหลายแบบเลยทีเดียว เมื่อไปถึงสนามบินเราต้องไปรูดเครดิตค้ำประกันรถยนต์ไว้ก่อน 20,000 บาท แล้วทางบริษัทจะทำการ cancel ให้ในวันที่คืนรถ ค่าเช่ารถต่อวันราคา 1,611 บาท เมื่อตรวจเช็คสภาพและรับรถเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาไป check in ที่โรงแรมวิสต้าเพื่อพักผ่อนกันตามอัธยาศัย ห้องที่เราเข้าพักราคาย่อมเยาว์ เพียง 650 บาทต่อคืน พร้อมอาหารเช้า นอกจากนี้พนักงานยังดูแลแขกที่เข้าพักอย่างเป็นกันเองด้วย
เช้าวันต่อมาเราตื่นกันตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ดอยอินทนนท์ ซึ่งจุดชมวิวที่สวยที่สุดของดอยนี้ก็คือบริเวณเส้นทางศึกษาธรรมชาติ กิ่วแม่ปาน เวลาประมาณ 6.30 น.เราก็จะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นพอดี อากาศเย็นๆอุณหภูมิประมาณ 15 องศาเซลเซียส แวะพักจิบกาแฟ หาอะไรร้อนๆทานแก้หนาวไปพลางๆ เพื่อปรับสภาพร่างกายก็ดีไม่น้อยค่ะ
การขับรถขึ้นดอยอินทนนท์นั้นระยะทางค่อนข้างไกล ชัน และคดเคี้ยวพอสมควร หากใครไม่ชำนาญทาง จะเหมารถเหลืองขึ้นดอยไปเลยก็ได้ ราคาก็แล้วแต่จะตกลงต่อรองกันค่ะ
หลังจากแวะพักเติมพลังกันเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกเดินทางต่อเพื่อขึ้นไปสูดอากาศบริสุทธิ์บนยอดดอยซึ่งเป็นจุดสูงสุดของแดนสยามกัน โดยทั่วไปบริเวณยอดดอยอินทนนท์จะมีลักษณะเป็นสันเขาและยอดเขา มีอากาศที่หนาวเย็นมาก วันที่เราไปวัดอุณหภูมิได้ 7 องศาเซลเซียส และด้วยความที่มีสภาพอากาศชุ่มชื้นตลอดปี ทำให้บนยอดดอยแห่งนี้มีตะไคร่และมอสขึ้นปกคลุมเป็นจำนวนมาก
เดินเข้าไปไม่ไกลจากจุดนี้ เราก็เจอสถูปบรรจุพระอัฐิของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน ชื่อดอยอินทนนท์ที่เราเรียกกันนั้นก็มีที่มาจากพระนามของพระองค์นั่นเองค่ะ
แต่ถ้าจะมาให้ถึงจุดสูงสุดจริงๆก็ต้องขึ้นมาที่หมุดหลักฐานจุดสูงสุดแดนสยามซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางถึง 2565.3341 เมตรเลยทีเดียวค่ะ
ลงจากยอดดอยมานิดนึงก็จะเป็นที่ตั้งของพระมหาธาตุเจดีย์นภเมทนีดลและพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ ในรูปนี้คือพระมหาธาตุเจดีย์ที่กองทัพอากาศสร้างถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวโรกาสที่ทรงพระเจริญพระชนม์พรรษา 60 พรรษาเมื่อ พ.ศ. 2530 ซึ่งมีนามว่า “พระมหาธาตุเจดีย์นภเมทนีดล” มีความหมายว่า “พระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ยิ่งใหญ่เพียงฟ้าจดดิน”
ภายในประดิษฐ์พระพุทธรูปหินแกรนิตที่กองทัพอากาศสั่งจำหลักมาจากประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งได้รับพระราชประทานชื่อว่า “พระพุทธบรมศาสดา นวมินทร มหาจักรีราชานุสรณ์ สัฐพรรษาสถาพรพิพัฒน์” แปลได้ความว่า “พระพุทธเจ้าพระบรมศาสดาสร้างเป็นอนุสรณ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมจักรีวงศ์ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 60 พรรษา”
นอกจากนี้ยังมีการสร้างพระมหาธาตุเจดีย์นภพลภูมิสิริ เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศลและเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในมหามงคลสมัยที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ 12 สิงหาคม 2535 มีความหมายตามนามว่า “เป็นกำลังแห่งฟ้า เป็นสิริแห่งดิน”
พระพุทธรูปหินหยกสีขาวในห้องของพระมหาธาตุเจดีย์นภพลภูมิสิรินั้นสั่งจำหลักมาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นพระพุทธรูปปางรำพึง พระประจำวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ นามว่า “พระพุทธสิริกิติทีฆายุมงคล” มีความหมายว่า “พระพุทธเจ้าทรงเป็นสิริมงคล และทรงเจริญพระชนม์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ” พระพุทธรูปองค์นี้กองทัพอากาศได้อัญเชิญขึ้นประดิษฐานแล้วประกอบพิธีพุทธาภิเษกเบิกพระเนตรพร้อมอัญเชิญพระบรมธาตุประดิษฐานในยอดปลีครองพระองค์มหาธาตุเจดีย์ด้วย
รอบๆพระมหาธาตุเจดีย์ทั้ง 2 องค์มีสวนพรรณไม้นานาชนิด สีสันสดใสสวยงาม มองดูแล้วสดชื่นไม่น้อย บางพันธุ์ดูแปลกตา คาดว่าเป็นเพราะอากาศที่หนาวเย็นยาวนานเลยทำให้พันธุ์ไม้บนดอยแห่งนี้มีสีสวยยิ่งขึ้น เช่น กระหล่ำประดับสีชมพูที่มองเผินๆนั้นคล้ายกับดอกกุหลาบยักษ์เลยค่ะ
เดินทัวร์กันซะนาน พอดูเวลาอีกทีก็ปาเข้าไป 11โมงแล้ว เห็นทีจะเปลี่ยนไปที่อื่นกันบ้าง เส้นทางต่อไปที่เราจะไปคือเส้นแม่ริมซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นสวนพฤกษศาสตร์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ น้ำตกแม่สา ปางช้างแม่สา ศูนย์ฝึกลิง คุ้มเสือแม่ริม ซึ่งการเดินทางจากดอยอินทนนท์ไปยังเส้นแม่ริมนั้นค่อนข้างไกลพอสมควร กว่าจะไปถึงก็ประมาณบ่ายโมงแล้ว เราเลยขับรถเลยไปทานข้าวกันที่ “ร้านโป่งแยงแอ่งดอย” ก่อน ร้านนี้ไม่ได้มีจุดเด่นแค่เพียงรสชาติของอาหารที่อร่อยเท่านั้น แต่บรรยากาศรอบๆ แนวภูเขาสีเขียว และวิวน้ำตก ก็ยังเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดลูกค้าได้เป็นอย่างดี จนหลายคนถึงกับยอมที่จะขับรถมาไกลเพื่อมาทานอาหารที่ร้านนี้โดยเฉพาะ
บนถนนสายแม่ริม-สะเมิงนั้นคงไม่มีใครไม่รู้จักสวนพฤกษศาสตร์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์เป็นแน่ สถานที่ที่คนรักธรรมชาติจะได้เพลิดเพลินไปกับความสวยงามและความรู้เรื่องพันธุ์ไม้จากทุกส่วนในสวนแห่งนี้ เราเองก็เลยไม่พลาดที่จะพาเพื่อนๆมาแวะชมกัน และจุดที่เห็นในรูปนี้ก็คือทางเข้าไปยังกลุ่มอาคารเรือนกระจกซึ่งทำเป็นซุ้มโครงเหล็กเพื่อปลูกไม้เลื้อย ช่วงที่เราไปนั้นคาดว่าซุ้มนี้เพิ่งสร้างใหม่ได้ไม่นาน ไม้เลื้อยเลยยังไม่ปกคลุมซุ้มเท่าที่ควร คิดว่าถ้าไม้เลื้อยขึ้นสูงจนปกคลุมโดยรอบโครงเหล็กแล้ว คงเป็นภาพที่สวยงามและดูร่มรื่นมากทีเดียว
กลุ่มอาคารเรือนกระจกเป็นพื้นที่ปลูกพรรณไม้หายากที่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ ถือเป็นจุดเด่นของที่นี่เลยก็ว่าได้ เรือนกระจกของที่นี่สร้างขึ้นให้อยู่ในสภาพที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด สามารถควบคุมความชื้น แสง และอุณหภูมิได้ดีในระดับหนึ่ง เพื่อให้ใกล้เคียงกับสภาพตามธรรมชาติที่พืชต้องการ
นี่คือส่วนของเรือนพืชแล้ง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดที่น่าตื่นตาตื่นใจ ภายในรวบรวมพืชสกุลกระบองเพชรต่างๆจากทั่วโลกทั้งขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ที่ออกดอกสีสันสวยงาม รวมถึงพืชสกุลศรนารายณ์ กุหลาบหิน และเสมา ไว้ให้เราได้ชมกัน
อีกมุมหนึ่งภายในบริเวณสวนพฤกษศาสตร์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เป็นที่ตั้งของน้ำตกแม่สาน้อย ที่ถึงแม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็มีความสวยงามและเป็นธรรมชาติดี เราไม่มีเวลาไปน้ำตกแม่สา ก็เลยมาแวะถ่ายรูปที่นี่แทนค่ะ
ด้วยความที่วันนี้เราเวลาค่อนข้างจำกัด เพราะต้องนำรถไปคืนที่สนามบินให้ทันภายในเวลา 3 ทุ่ม เราจึงต้องรีบออกเดินทางกันต่อเพื่อไปเก็บภาพบรรยากาศยามค่ำคืนของวัดพระธาตุดอยสุเทพซึ่งว่ากันว่ามีความสวยงามไม่แพ้ตอนกลางวันเลย การขับรถขึ้นดอยสุเทพนั้นคล้ายๆขึ้นดอยอินทนนท์ แต่ควรระวังโค้งหักศอกให้ดี เพราะถ้าขับด้วยความเร็วสูง อาจเกิดอันตรายได้
การขึ้นไปยังวัดพระธาตุดอยสุเทพนั้นมีให้เลือก 2 วิธีด้วยกัน สามารถเดินขึ้นไปหรือจะเลือกใช้ลิฟท์ราคาคนละ 20 บาทก็ได้ เมื่อมาถึงวัดแล้วสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือการสักการะครูบาศรีวิชัยที่ฐานบันไดทางขึ้นวัดกันก่อน จากนั้นจึงค่อยขึ้นไปสักการะพระธาตุด้านบน บรรยากาศตอนกลางคืนนั้นดูวิจิตรตระการตามากทีเดียว ทุกอย่างเป็นสีทองเลื่อม ดูเด่นสง่า น่าเลื่อมใสศรัทธาไปอีกแบบค่ะ
ตอนแรกที่เราคิดจะขึ้นมาถ่ายในเวลากลางคืน เราคิดว่าจะได้มาพบกับบรรยากาศที่เงียบสงบ ปลอดผู้คน แต่ผิดคาด เพราะวันที่เราไปนั้นมีพุทธศาสนิกชนจำนวนไม่น้อยเลยที่มาร่วมฟังธรรมและเวียนเทียนรอบพระธาตุ มีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ เป็นภาพที่น่าประทับใจเสียจริงๆค่ะ
ขึ้นมาเที่ยวดอยสุเทพตอนกลางคืนแบบนี้ ขากลับต้องใช้ความระมัดระวังกันให้มากขึ้นอีกหน่อยนะคะ เพราะถนนไม่มีไฟเลยซักดวง อีกทั้งยังต้องคอยระวังจักรยานและมอเตอร์ไซด์ที่ขับสวนไปมาด้วย
ทริปเที่ยวเชียงใหม่วันแรกของเราถือว่าใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่าเลยทีเดียว สามารถพาเพื่อนๆเที่ยวตามสถานที่สำคัญได้พอสมควรหวังว่าเพื่อนๆคงจะสนุกไปกับเรา แล้วอย่าลืมกลับมาติดตามชมทริปเชียงวันที่สองของเรานะคะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น